และแล้ววันนี้ก็มาถึง!!! หลังจากหลบเลี่ยงและถนอมฟันหน้าซี่ขวามือมานานแรมปีเมื่อถูกคุณหมอทักตอนไปขูดหินปูปลายปี 58 “ฟันมีจุดดำ ๆ นะคะ หมอไม่มั่นใจว่าผุหรือเปล่า” แล้วก็ทำการเอกซ์เรย์ดูจนมั่นใจว่าฟันซี่นี้มีอาการผุอยู่ข้างใน วิธีรักษาฟันผุก็คือการอุดฟันง่าย ๆ ราคาเบา ๆ แต่ฟันซี่นี้มันไม่ปกติเพราะมันเป็นฟันที่ถูกทำการรักษารากฟันมาแล้ว คือเป็นฟันที่ตายแล้ว ตอนที่ประสบอุบัติเหตุสมัยม.ปลายเมื่อ 10 ปีก่อน (เวลา 10 ปีนี่มันแป้บเดียวเองเนาะ) ดังนั้นวิธีรักษาจึงยากออกไปและมีราคาปลีกย่อยสูงพอสมควร หลักหมื่นไปถึงแสน ในใจตอนนั้นก็คิดหนักแหละ เงินไม่ใช่น้อย ๆ แบบทำงานทั้งเดือนมาจ่ายค่าฟันซี่เดียวนี่ก็ทำใจไม่ได้อ่ะแหละ จึงประคองตัวเองกะว่าให้ฟันมันอยู่ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปก่อนละกัน
อาการในช่วงประคองตัว (1 ปีย้อนหลัง)
ในช่วงที่หมอทักแรก ๆ ก็ปกตินะ การรักษาก็คือแปรงฟันตามปกตินั่นแหละ และพยายามไม่กัดอะไรให้กระทบฟันคู่หน้า แต่นับวันสีของฟันก็เริ่มจะเปลี่ยนไป จากจุดนำ้ตาลเล็กด้านข้าง ๆ ก็เริ่มขยายวงออกไปจนกินพื้นที่ราว 50% ของเนื้อฟัน
ช่วงสามเดือนย้อนหลัง ในช่วงนี้จะรู้สึกได้ว่ามีกลิ่นปากแบบคนฟันผุอ่ะแหละ (ก็แน่หละ แม้จะเป็นฟันที่ตายแล้วแต่เลือดและเศษอาหารก็หมุนวนเวียนอยู่ตรงนั้นอยู่ดี) จนช่วงต้นปีนี้ (2560) มีการอักเสบรุนแรงจนเหงือกบวมจนต้องไปหาหมอฟัน แล้วคุณหมอก็ทำความสะอาดให้พร้อมกะเทาะด้านข้างจนเป็นรู หลังจากนั้นอาการอัปเสบก็เริ่มลดลง ซึ่งเราก็ทำความสะอาดได้โดยการใช้ไหมขัดหันแบบก้านคว้านเข้าไปทำความสะอาดจากรูนั้นได้ สิ่งที่รับรู้ได้เลยคือ อายุของฟันซี่นี้ใกล้หมดลงแล้ว เพราะข้างในมันกลวงโบ๋เลย T_T
ฟันหัก
26 มี.ค. 2560 ทุกอย่างย่อมมีวันเวลาที่หลีกหนีไม่ได้ แล้วฟันซี่ก็หักลง ต่อให้พยายามเลี่ยงการกัดอะไรก็ตาม แต่ก็พลาดอยู่ดี ที่ตลกคือ ไม่ได้กัดตรง ๆ นะ แค่เคี้ยวน่องไก่ แล้วแป้งกรอบหลุดมาอยู่ในร่องฟันหน้า เคี้ยวกึ๊กหนึ่งที น้ำตาไหลเลย หักคาน่องไก่เลย T_T
ไปหาหมอ
27 มี.ค 2560 หอบฟันหักไปทำงานแล้วตอนเย็นค่อยไปหาหมอที่ MOS อโศกที่เคยไปปรึกษาเรื่องการรักษากับหมอฝนมาก่อน (จริง ๆ เคยไปที่ MOS อ่อนนุชมาก่อนแล้วหมอที่นู่นนัดให้มาปรึกษาหมอฝนที่ถนัดเรื่องการรักษารากฟันที่อโศกอีกที) ในตอนนั้นทำใจเรื่องราคายังไม่ได้จึงเลี่ยงมาก่อนแล้วเหตุก็มาเกิดเอาตอนเดือนต่อมานี่แหละ แต่วันนั้นหมอฝนไม่อยู่ หมออดิศรจึงจัดการให้เองเลย
ทางเลือกในการรักษา
ที่จริงในรอบปีที่ผ่านมาก็วิ่งวุ่นปรึกษาหมออยู่หลายที่เหมือนกันทั้งในกรุงเทพและที่บ้านเกิดอำนาจเจริญ แต่ราคาไม่ต่างกันเท่าไหร ซึ่งแพงอยู่ดี จึงชั่งใจอยู่ว่าถ้าทำก็คงทำที่กรุงเทพนั่นแหละ โดยสรุปแล้วเคสของผมมีทางเลือกให้รักษาดังนี้
1. รากฟันเทียม ถอนรากถอนโคนฟันเดิมออก แล้วใส่เหล็กลงไป ครอบด้วยฟันปลอมอีกที
ข้อดี : รักษาเฉพาะซี่ที่พัง
ข้อเสีย : แพง
ราคา : 50,000 – 100,000 บาท
2. สะพานฟัน ทำฟันปลอม และขอครอบฟันด้านข้างรวม 2 ซี่เพื่อเกี่ยวยึดไว้
ข้อดี : ได้ฟันที่ยึดเกราะถาวร ไม่ต้องถอดทำความสะอาด
ข้อเสีย : ต้องกรอฟันด้านข้างซ้ายขวา เพื่อเอาฟันปลอมไปครอบ เท่ากับทำฟันที่ดีอยู่ให้บอบบางไป
ราคา : ซี่ละ 10,000 บาท (สมมติพังซี่เดียวก็ต้องทำ 3 ซี่ คือ ที่พัง และซี่ด้านข้างซ้ายขวา = 30,000 บาท)
3. ฟันปลอม ทำฟันปลอม ถอดทำความสะอาดทุกวัน กลางคืนแช่น้ำไว้ ตอนเช้าค่อยใส่
ข้อดี : ราคาถูกที่สุด
ข้อเสีย : การใส่ฟันปลอมมันก็ไม่ถนัดอยู่แล้ว แถมต้องถอดทุกวันด้วย
ราคา : ซี่ละ 3,000 บาท
วิธีที่เลือก
ท้ายสุดหลังจากฟังหมออดิศรอธิบายวิธีการักษาต่าง ๆ ซ้ำอีกรอบและสอบถามราคาโดยละเอียดแล้ว จึงได้ตัดสินเลือกวิธีการใส่รากฟันเทียม แม้จะต้องจ่ายแพงหน่อย แต่น่าจะเป็นวิธีที่ช่วยให้สะดวกสบายในชีวิต และดึงความมั่นใจในรอยยิ้มไว้ให้ได้ดีที่สุดแหละ แต่ใช่ว่าจะแค่ถอนฟันแล้วใส่ฟัน วันต่อมายิ้มแฉ่งนะ มันต้องใส่รากฟันเทียมที่เป็นเหล็กไว้รอก่อน 4 เดือน แล้วจึงในครอบส่วนต่อที่เป็นซี่ฟัน ในระหว่างนี้ต้องใส่ฟันปลอมแบบถอดได้รอก่อน แล้วระหว่างรอฟันปลอมนี่ก็จะมีฟันปลอมแบบติดชั่วคราวให้ก่อน อาจจะ 1 – 2 สัปดาห์ (ถ้าหลุดก่อนก็ฟันหลอ)
วิธีการใส่รากฟันเทียม
พอตกลงปลงใจแล้วคุณหมอก็เริ่มกระบวนการรักษาเลย ตามนี้
1. พิมพ์ฟันเพื่อเตรียมทำฟันปลอม ซี่ที่หักอ่ะ คุณหมอหักและดึงออกด้วยมือเปล่าเลย T_T (จริง ๆ มันพร้อมหลุดแล้วแหละแต่มีเหล็กจากการรักษารากฟันครั้งก่อนดึงมันไว้)
2. เอกซ์เรย์ฟันแบบ 3 มิติ เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าเครื่องแบบนี้ แบบว่าตอนที่มันกดฟันลงอ่ะ แทบร้อง นึกว่าฟันจะหักซะแล้ว อันนี้น่าจะเอาไว้เพื่อทำประวัติทันตกรรม และเพื่อดูแนวทางการถอนฟัน
3. ถอนฟัน แต่ฟันซี่รากฟันมันแหลกละเอียดแล้วทำให้คุณหมอต้องใช้เวลาถอนนานพอสมควร เพราะรากฟันมันยุ่ยแล้ว คุณหมอต้องตามคว้านมันออกให้หมด
4. ใส่รากฟันเทียม เคสนี้ผมถูกใช้รากฟันที่ยาวที่สุดที่มีเลย เพราะด้วยความที่เป็นฟันคู่หน้าจึงต้องการความแข็งแรงที่สุด
5. เติมกระดูกฟัน อันนี้ผมคุยกับหมอแล้วว่าไม่เอา ซึ่งมันจ่ายช่วยเสริมเหงือกให้นูนขึ้นเป็นธรรมชาติ แต่มันมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม 20,000 บาท แต่คุณหมอบอกว่าจะลดให้และเติมนิดหน่อยในราคา 5,000 เพราะฟันผมถูกคว้านออกไปเยอะและมันบุบมาเกินไป (คุณหมอถามว่ากลัวแผลผ่าตัดไหม แต่ยังไงก็ต้องดู เพราะต้องตัดสินใจร่วมกัน พอเห็นเท่านั้นแหละ ผมแทบลมจับ)
6. เย็บ ถูกเย็บจนพรุน เลือดนี่ไหลเป็นวุ้นเลยครับ T_T (ตอนนี้ยังกลัวไม่หาย)
7. จริง ๆ ขั้นสุดท้ายนี่คือใส่ฟันปลอมแบบติดชั่วคราวนะครับ แต่ของผมแผลมันเหวอะหวะเกินไป
8. ใส่ผ้าก็อตปิดแผล ให้กัดไว้ห้ามพูดห้ามขยับปาก ให้กลืนน้ำลายและเลือด พร้อมมียาแก้อักเสบให้กินต่อเนื่อง 5 วัน วันละ 2 มื้อ (คุณหมอมีแอบเทสว่าจะพูดมั้ย และเห็นว่าผมไม่กลืนเลือดไม่กลืนน้ำลาย เลยโดนดุเลย แหมคุณหมอครับ ผมไม่ช็อกตายก็ถือว่าเก่งมากแล้วครับ เลือดไหลซะขนาดนั้น 555)
9. กลับบ้านไปนอนให้เลือดหยุดไหล
10. ผ่านไป 3 วัน หมอฝนนัดมาใส่ฟันปลอม
11. ต่อมาอีกอาทิตย์ ก็มาตัดไหม
12. ระหว่างนี้ก็รอไปก่อนจนกว่าครบกำหนดไปใส่ฟันข้อต่อจากรากฟันเทียม เดี๋ยวมาอัปเดตอีกทีครับ
ค่าใช้จ่าย
- ถอนฟัน 900 บาท
- เอกซ์เรย์ฟันแบบ 3 มิติ 1,000 บาท
- ค่าฟันปลอม 2,700 บาท
- ค่ารากฟันเทียม 55,000 บาท (จ่ายตอนใส่ครึ่งนึง และอีกครึ่งตอนใส่ฟันครอบ)
- ค่าเสริมกระดูกฟัน 5,000 บาท
ขอบคุณบัตรเครดิต KTC มานะที่นี้ด้วยครับ ที่ให้วงเงินเยอะจนรูดผ่านคืนนั้นมาได้
ผลข้างเคียง
กลายเป็นคนซึมเศร้าอีกรอบนึงเลยครับ เครียดเรื่องค่าใช้จ่าย เสียความมั่นใจ และเจ็บปวดมาก กินข้าวไม่ได้ สมองเลยคิดแต่เรื่องแย่ ๆ ครับ T_T
แต่ทั้งนี้ ถ้าใครมีปัญหาเรื่องฟันผมแนะนำว่าให้รีบรักษาเลยนะครับ อย่าเก็บไว้นานแบบผม เพราะสุดท้าย ท้ายสุดก็ต้องเสียเงินจ่ายอยู่ดีครับ ส่วนใครทำงานสาย BTS ก็แนะนำ MOS Dental Clinic อโศกนะครับ อยู่ตรงตึกเอ็กซ์เชนจ์ ทาวเวอร์ ชั้น LG มาทางบีทีเอสอโศก ทางออก 6 บริการดีครับ และที่สำคัญมีการโทรตามนัดด้วย รับรองไม่มีลืมนัดแน่นอน